จากความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซียที่มีมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเมื่อเช้ามืดของวันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย สั่งเริ่มปฏิบัติการทางทหารในภูมิภาคดอนบาส ทางภาคตะวันออกของยูเครน กองกำลังของรัสเซียบุกเข้าสู่ยูเครนจากทุกทิศทาง ทำให้มีผู้เสียชีวิตได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก สงครามนี้มีทีท่าว่าจะยืดเยื้อ ไม่จบลงง่ายๆ จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด supply chain disruption หรือการหยุดชะงักในซัพพลายเชนได้ เนื่องจากทั้งรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกรายสำคัญของโลก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าทางการเกษตรต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด, ส่งออกน้ำมันให้กับประเทศในยุโรป, เหล็กและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ (Commodity)
การค้าระหว่างประเทศยูเครน รัสเซีย และประเทศไทย
ประเทศไทยได้มีการนำเข้าสินค้ากับประเทศรัสเซียและยูเครนมูลค่าร่วมหลายพันล้านบาท จากสถิติของกระทรวงพาณิชย์เผย 5 อันดับสินค้าที่ไทยนำเข้าจากยูเครนในปี 2564 ได้แก่
- สินค้าทางการเกษตร (4,419 ล้านบาท)
- เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (3,013 ล้านบาท)
- ไม้ซุง ไม้แปรรูปและผลิตภัณฑ์ (133 ล้านบาท)
- สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ (112 ล้านบาท)
- แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ (112 ล้านบาท)
จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยนำเข้าสินค้าทางการเกษตร คิดเป็น 57% ของสินค้านำเข้าทั้งหมดจากประเทศยูเครน ตามมาด้วยเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็กเป็นอันดับสอง คิดเป็น 39% เมื่อเกิดสงครามยูเครน-รัสเซียขึ้น แน่นอนว่าผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับ 2 ประเทศนี้เท่านั้น มันแผ่วงกว้างไปยังประเทศในยุโรป อเมริกา และส่งผลกระทบห่วงโซ่ซัพพลานเชนของประเทศคู่ค้า เรามาดูกันดีกว่าครับว่า ซัพพลายเชนในไทยได้รับผลกระทบอย่างไรจากสงครามครั้งนี้บ้าง
ซัพพลายเชนสินค้าทางการเกษตรได้รับผลกระทบอย่างหนักจนทำให้การผลิตอาหารสัตว์บางส่วนต้องปิดไลน์การผลิตไป
รัสเซียและยูเครนเป็นผู้ส่งออกพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์รายใหญ่ของโลก โดยมีปริมาณการส่งออกข้าวสาลีรวมกันราว 29% ของปริมาณการส่งออกทั่วโลก และมีสัดส่วนการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงถึง 19% ของตลาดโลก ประเทศไทยนำเข้าข้าวสาลี ข้าวโพด กากถั่วเหลืองเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น อาหารกุ้ง เป็นต้น ผลกระทบของสงครามนี้ได้ประจักษ์เป็นที่เห็นในวงการอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยแล้ว เนื่องจากประเทศยูเครนไม่สามารถส่งออกข้าวสาลี กากถั่วเหลืองได้ จึงส่งผลให้ราคาต้นทุนของอาหารสัตว์พุ่งขึ้น ราคาข้าวสาลีปรับขึ้นทันที เป็น 12.75 บาท/กิโลกรัม จากราคา 8.91 บาท/กิโลกรัม ในปี 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทย พุ่งสูงกว่าตลาดโลกไปอยู่ที่ 12 บาท/กิโลกรัม และมีแนวโน้มขยับต่อเนื่องไปถึง 15 บาท/กิโลกรัม
ราคาพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ปรับตัวสูงขึ้น กิจการรายย่อยได้รับผลกระทบอย่างหนัก
รัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ให้กับยุโรป สูงถึง 46% เลยทีเดียว จากการทำสงครามที่รัสเซียบุกเข้าล้อมประเทศยูเครนนั้น ผลกระทบที่ตามมาคือราคาก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน น้ำมันในยุโรป และของโลกเพิ่มสูงขึ้น ภาคธุรกิจในยุโรปบางส่วนต้องปิดตัวเนื่องจากการขาดแคลนพลังงาน นอกจากราคาพลังงานจะเพิ่มแล้วราคาโลหะมีค่า ได่แก่ พาลาเดียม แพลทินัม อลูมิเนียม ทองแดง นิกเกิล เหล็ก เพิ่มสูงขึ้น โลหะมีค่าเหล่านี้นับเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของรัสเซียอีกด้วย
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยคือราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้นอีก เกิดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยปัจจุบันราคาน้ำมันก็พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แล้ว อุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบหนักเลยคือโลจิสติกส์ที่มีการขนส่งเป็นบริการหลัก ธุรกิจรายย่อยก็เช่นเดียวกัน ส่วนธุรกิจที่ต้องใช้วัตถุดิบจากโลหะ เช่น อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ต่างๆ จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
สิ่งที่เรียนรู้จากสงครามครั้งนี้
ผมขอแบ่งบทเรียนสำคัญในซัพพลายเชนที่ได้จากสงครามครั้งนี้ออกเป็น 3 ข้อครับ
-
การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก:
ความเสี่ยง คือ โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด ความเสียหาย หรือเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคตและมีผลกระทบทำให้การดำเนินงานไม่ประสบความสำเร็จ ในองค์กรขนาดใหญ่ส่วนใหญ่จะมีการบริหารความเสี่ยงขององค์กร หน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างเองก็ควรมีการบริหารความเสี่ยง เพื่อที่คุณจะได้หาวิธีการป้องกันและจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นให้เหลือน้อยที่สุด ในกรณีนี้จะเห็นได้ว่า ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและความไม่สงบทางการเมืองส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ผมเคยเห็นบางบริษัทที่หลีกเลี่ยงการทำธุรกิจกับประเทศที่มีความไม่สงบทางการเมืองเพราะผลกระทบของเค้าได้ไม่คุ้มเสีย ไปจับมือกับธุรกิจในประเทศที่มีความมั่นคงดีกว่า
-
ความสำคัญในการทำ Supply base:
การทำ Supply base คือ ฐานของซัพพลายเออร์ 2-3 รายที่บริษัทผู้ซื้อได้จัดทำขึ้นเพื่อติดต่อและซื้อของ ยิ่งเป็นสินค้าที่มีความสำคัญต่อธุรกิจ คุณยิ่งต้องทำ Supply base เช่น สินค้าที่ใช้ในการผลิตที่มีมูลค่าการซื้อต่อปีสูง ซัพพลายเออร์ใน Supply base เหล่านี้จะเป็นรายที่คุณอนุมัติที่จะซื้อของด้วยได้ ในสถานการณ์นี้ หากคุณมีซัพพลายเออร์ Tier-1 อยู่ในยูเครนและรัสเซีย ธุรกิจของคุณได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน หากซัพพลายเออร์ส่งของให้คุณไม่ได้และคุณไม่มีซัพพลายเออร์สำรองไว้ นั่นเท่ากับการหยุดชะงักทางซัพพลายเชนมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก จะเห็นได้ว่าหากคุณไม่ได้ทำ supply base ไว้ ผลที่ตามมาคือคุณไม่มีซัพพลายเออร์ที่จะสามารถส่งวัตถุดิบให้คุณได้ตรงตามคุณภาพและปริมาณที่ต้องการ
-
มีกลยุทธ์การจัดซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่เหมาะสม:
อย่างที่ทราบกันว่าสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) คือ สินค้าที่ตัวสินค้ามีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ผลิตก็ตาม เช่น ข้าว น้ำตาล ข้าวโพด น้ำมัน อ้อย เป็นต้น และด้วยความที่สินค้าโภคภัณฑ์มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทำให้ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ถูกกำหนดโดยอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของตลาดโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ใน “การผลิต” อย่าง “ต่อเนื่อง” ธุรกิจจึงสมควรมีกลยุทธ์ในการจัดซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Future contract) เพื่อใช้ไว้ป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือภาคประชาชน นอกจากจะต้องแบกรับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อแล้ว การหยุดชะงักทางซัพพลายเชนจะนำมาซึ่งการขาดแคลนของสินค้าโภคภัณฑ์ ที่จะผลักดันให้ราคาสูงขึ้นไปอีก
อ้างอิง: