วันวาเลนไทน์ – วันแห่งความรักนับเป็นอีกช่วงหนึ่งของปีที่มีการซื้อ-ขาย ขนส่งดอกไม้และของขวัญเยอะที่สุดในรอบปี เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นผู้ขายดอกไม้ ร้านอาหาร ของขวัญต่างๆออกมาทำโปรโมชั่นกันอย่างเต็มที่รองรับความต้องการที่มีอยู่ล้นตลาด คุณรู้หรือไม่ว่ากว่าจะมาเป็นช่อดอกไม้ ของขวัญที่ทำขึ้นมาให้คุณโดยเฉพาะต่างๆ ผู้ประกอบการใช้กลยุทธ์ซัพพลายเชนอะไรบ้างเพื่อที่จะให้สามารถส่งมอบของตามที่คุณต้องการ บางคนก็ไม่รู้ตัวว่าได้ใช้กลยุทธ์เหล่านี้ไปแล้วเพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวมากจริงๆ ผมขออนุญาตใช้ช่อดอกไม้เป็นตัวอย่างในบทความนี้นะครับ เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง
- QCAR – หลักการคัดเลือกซัพพลายเออร์ขายส่งดอกไม้:
ผมขอเริ่มจากจุดเริ่มต้นของการจัดทำช่อดอกไม้ นั่นก็คือ การคัดเลือกซัพพลายเออร์ขายส่งดอกไม้ อันดับแรกผู้ประกอบการอาจจะมีคำถามเหล่านี้อยู่ในหัว- ดอกไม้จะได้คุณภาพตามที่ตกลงกันไว้ไหม?
- ต้นทุนของดอกไม้จะทำให้เรายังได้กำไรที่ตั้งไว้อยู่หรือเปล่า?
- ดอกไม้จะมาส่งทันวันเตรียมหรือไม่?
- หากเราต้องการดอกไม้เพิ่ม ทางซัพพลายเออร์จะหาดอกไม้ให้เราทันไหม?
คำถามที่คุณถามนั้น ตรงกับโมเดล QCAR – 4 ปัจจัยที่ไว้ใช้คัดเลือกซัพพลายเออร์เลย
-
- Q – Quality หรือคุณภาพ
- C – Cost หรือต้นทุน
- A – Availability หรือความพร้อม
- R – Responsive หรือการตอบสนองอย่างรวดเร็วอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโมเดล QCAR ได้ที่นี่
- การทำ Customization:
ปัจจุบันเรียกได้ว่า การทำ Customization หรือ การปรับเปลี่ยนสินค้าให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า เป็นกลยุทธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งผู้ให้ก็มีความสุข ผู้รับก็รู้สึกพิเศษ ในการขายช่อดอกไม้ช่วงวาเลนไทน์ได้มีการทำ Customization เช่น มีการจัดช่อดอกไม้ให้ตรงใจผู้ซื้อ ลูกค้าสามารถเลือกดอกไม้ได้ เลือกจำนวน และจำกัดตามงบประมาณที่มีอยู่ได้ ช่อดอกไม้ที่ได้จะมีช่อเดียวที่ทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษ นอกจากนี้ บางร้านยังมีการทำการ์ด เขียนข้อความตามที่สั่งมา ปริ้นรูปติดไปให้ด้วย เรียกได้ว่าผู้ประกอบการแต่ละเจ้าก็นำการทำ Customization มาแข่งขันกันสุดๆ - ใช้ระบบการดึง (Pull system) มากกว่าระบบการผลัก (Push system):
การผลิตแบบระบบดึง คือ เน้นการผลิตตามความต้องการของลูกค้า แต่ทำให้เร็วที่สุด ทำเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้มีความสูญเปล่าในกระบวนการที่น้อย สต๊อกต่ำเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ในขณะที่ระบบผลักคือ เน้นผลิตให้มากเพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ เก็บไว้เป็นสต๊อกและผลักดันสินค้าไปยังลูกค้าเพื่อให้เกิดการขาย ซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการขายสินค้าไม่ได้เนื่องจากสินค้าไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า - การ Outsource งานที่ไม่ถนัด:
บางร้านที่ใหญ่อาจจะมีขนส่งเป็นของตัวเอง แต่ในขณะที่ผู้ประกอบการหลายๆรายก็ใช้การ Outsource ผู้ให้ผู้บริการด้านขนส่ง การ Outsource มีข้อดีคือการได้รับบริการจากหน่วนงานภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยสร้างความได้เปรียบในองค์กรได้และยังช่วยลดปัญหาในการจัดการ ส่วนใหญ่ธุรกิจจะ Outsource ภายนอกในงานที่ไม่ใช่ Core Competency ของตนเอง เช่น ร้านจัดดอกไม้ Core Competency ก็คือการจัดดอกไม้ ร้านส่วนใหญ่จึง Outsource ผู้ให้บริการขนส่งแทนที่จะทำเอง - การมี Responsive Supply Chain (ซัพพลายเชนที่ตอบสนอง):
เนื่องจากช่อดอกไม้เป็นสินค้าที่มีการ Customize ตามความต้องการของลูกค้าแต่มีขั้นตอนในการผลิตที่แน่นอนแล้ว ผู้ประกอบการควรมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของลูกค้า มิเช่นนั้น คุณอาจจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ กระบวนการผลิตควรมีความยืดหยุ่น (Flexible) หากลูกค้าต้องการสินค้าภายในระยะเวลาอันสั้นและคุณมีแผนการเตรียมรอไว้อยู่แล้ว ในขณะที่คู่แข่งไม่มี คุณก็สามารถรับออร์เดอร์ลูกค้าคนนั้นไปได้แบบสบายๆ
จะเห็นได้ว่าทั้ง 5 กลยุทธ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คุณนึกไม่ถึงทั้งสิ้น แนวคิดกลยุทธ์ซัพพลายเชนเหล่านี้ได้ฝังตัวอยู่ในชีวิตประจำวันจนเราแยกไม่ออก ผมขอสรุปว่า การแข่งขันปัจจุบัน หากคุณไม่เอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric) และไม่ตอบสนองไวต่อการเปลี่ยนแปลง การแข่งขันในตลาดจะเป็นไปได้ยากเพราะมีคู่แข่งของคุณอีกมากมายที่พร้อมจะได้ให้บริการแทนคุณ เพราะฉะนั้นการมี Responsive Supply Chain สำคัญมากครับ